ท้องฟ้านั้นกว้าง..... เฉกเช่นไร จักรวาลก็กว้างใหญ่..... เฉกเช่นนั้น ใจท่านกว้าง....เพียงไร อนุภาคจิตใจของท่านกว้าง.....เพียงนั้น
ท้องฟ้านั้นกว้าง..... เฉกเช่นไร จักรวาลก็กว้างใหญ่..... เฉกเช่นนั้น ใจท่านกว้าง....เพียงไร อนุภาคจิตใจของท่านกว้าง.....เพียงนั้น
วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559
"บุพเพฯปุชฉากับความรักที่แตกต่าง"
คำว่า “บุพเพสันนิวาส” ฟังดูเป็นคำโบราณที่เคยร่ำลือ และได้ยินมานมนาน จนเด็กปัจจุบันไม่เพียงแต่ไม่รู้จัก แต่ยังคงอาจจะคิดเป็นเรื่องเน่าๆ
พวกผู้ใหญ่เค้ามีอะไรในใจ คิดอะไร เอามาจากไหน เรื่องอะไร ๆ ก็เฉไฉเหมาเป็นเรื่องบุพเพฯมาเจอกันละกัน เพราะไม่รู้จะมีเหตุปัจจัยอื่นใดอีก อย่าคิดเป็นอื่นเป็นไกลเป็นคำไทยๆ มาจากภาษาบาลีนั่นเอง ปุพพะ ปุพเพ
คือ แต่ปางก่อน สันนิวาส คือ อยู่ร่วมกัน ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ
เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน ซึ่งบุพเพสันนิวาสนั้น คนส่วนใหญ่มักพากันเข้าใจกันว่า เป็นเรื่องของบุคคลผู้เผอิญเกิดเป็นเนื้อคู่กัน เป็นคู่รักกันมาในชาติปางก่อน
ถ้าเคยทำบุญร่วมไว้ ถึงจะยังไงก็ต้องเจอะกัน เขาเรียกบุพเพสันนิวาส สร้างสรรค์
คงเคยตักบาตรร่วมขัน สร้างโบสถ์ร่วมกันไว้เมื่อชาติก่อน...เพราะว่าบุพเพสันนิวาสเรียกหา พี่จึงมั่นใจแน่นหนาว่าขวัญชีวาคงไม่ตัดรอน” มันเป็นเช่นนั้น…..ในความหมายของตัวมันเองนั่นไซร้ บุพเพสันนิวาส
คือ คู่กันเคยได้อยู่ร่วมกันในอดีตชาติหรือหลายชาติ จนส่งผลให้พวกเค้าได้มาเป็นคู่ครองกันอีกในปัจจุบัน
ไม่ใช่คิดว่าเคยอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยาเท่านั้นนะ
แต่แท้จริงแล้วบุพเพสันนิวาสนั้นหมายถึงการที่อาจจะได้อยู่ร่วมกันในฐานะอื่นๆ
ก็ได้ เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อนกับเพื่อน ครูกับศิษย์ นายกับบ่าว เป็นต้น
การที่มีบุพเพสันนิวาสร่วมกันนี้เมื่อเกิดมาร่วมกัน
ก็มักจะสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ทำอะไรตามกัน มีความเห็นสอดคล้องกัน
ทำให้อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข และการที่มนุษย์จะเกิดร่วมกันในแต่ละชาตินั้น ตามหลักทางพระพุทธศาสนา มีหลักธรรมที่มนุษย์พึงประพฤติอย่างสม่ำเสมอ จึงจะส่งผลให้มนุษย์เกิดร่วมชาติเป็นญาติพี่น้องกันได้ ซึ่งมีเรื่องที่นกุลบิดากับนกุลมารดาประสงค์จะเกิดพบกันทุกชาติ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงหลักธรรมที่จะทำให้มนุษย์เกิดพบกันในทุกชาติ คือ บุคคลผู้ปรารถนาจะเกิดร่วมกันในทุกชาติ ต้องเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีการบริจาคเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน
มุมมองของสารพัดคู่ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันใบนี้ที่ท่านอาจพบได้
เนื้อคู่ คือ หญิงและชายที่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน
เป็นสามีภรรยากันมาก่อนในอดีตชาติ อาจจะไม่ได้เป็นคู่ครองกันในชาติปัจจุบันก็ได้
หากทั้งสองฝ่ายไม่ได้มาเกิดร่วมกัน หรือทั้งสองฝ่ายมีวิบากจากถูกอกุศลกรรมมาตัดรอน
คู่แท้ คือ คนที่เป็นเนื้อคู่กันมานานแสนนาน
ความรักและผูกพันกันข้ามภพข้ามชาติ
จึงมีมากกว่าคู่แบบอื่น
และอาจมีการร่วมอธิษฐานร่วมกันมาแล้วในอดีตชาติ เคยอยู่ร่วมกันในอดีตมามากกว่าคนอื่นๆ หญิงชายแต่ละคนอาจมีคู่แท้ได้หลายคน
คู่ครอง คือ
หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันในชาติปัจจุบัน
คู่กรรม คือ
หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นสามีภรรยา แต่มักไม่มีความสุข เนื่องจากการมาอยู่ร่วมกันนั้นเกิดจากวิบากของกรรมที่ทำร่วมกันหรือวิบากกรรมที่มีต่อกันมาส่งผล จึงต้องมารับวิบากกรรมร่วมกันหรือเคยอาฆาตพยาบาทกันมาก่อนในอดีต จึงต้องมาอยู่ร่วมกันเพื่อแก้แค้นกันตามแรงพยาบาทนั้น คู่ประเภทนี้มักจะมีเหตุให้มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน ขัดอกขัดใจกัน อยู่ด้วยกันด้วยความทุกข์และเดือดร้อน หาความสุขไม่ได้
คู่บารมี คือ เนื้อคู่ที่ได้ติดตามกันมา ส่งเสริมกันและกันในทางที่ดี ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยาร่วมกันนับชาติไม่ถ้วน และจะติดตามกันต่อไปจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ มักใช้คำนี้กับพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีกับเนื้อคู่ลำดับ ๑ ที่จะได้เป็นคู่ครองกับในชาติสุดท้าย ลักษณะอาการที่แสดงเห็นในคู่บารมี เช่นเมื่อแรกพบก็รู้สึกคุ้นๆ อาจจะเคยเห็น จำกันได้ ก็ยังไม่ใช่รักเลยที่เห็นแต่รู้สึกผูกพันมากกว่า แม้อยู่ห่างกัน ไกลกัน คนละที่ คนละเมืองหรือคนละประเทศต่างเมือง ก็มีเหตุปัจจัยชักนำแปลกๆ ให้มาพบมาเจอกัน อาจจะด้วยหน้าที่การงานหรือเผอิญพบเห็น หรือมีผู้ใหญ่นำพาชักจูงก็มี หากมีกรรมมาพลัดพรากไม่ได้พบกัน จะมีความรู้สึกรอใครสักคนแม้ว่าจะมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นผ่านมาในชีวิตมากมาย ก็ไม่อาจผูกใจกับใครได้ แม้รอเป็นสิบปีร้อยปี ถึงพบเจอกันอีกแล้วต้องจากด้วยเหตุวิบากอกุศลกรรม อันเป็นกรรมพลัดพรากมาตัดรอน แม้จากกันนานแสนนานก็มิอาจลืมเลือนได้
คู่บารมี คือ เนื้อคู่ที่ได้ติดตามกันมา ส่งเสริมกันและกันในทางที่ดี ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยาร่วมกันนับชาติไม่ถ้วน และจะติดตามกันต่อไปจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ มักใช้คำนี้กับพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีกับเนื้อคู่ลำดับ ๑ ที่จะได้เป็นคู่ครองกับในชาติสุดท้าย ลักษณะอาการที่แสดงเห็นในคู่บารมี เช่นเมื่อแรกพบก็รู้สึกคุ้นๆ อาจจะเคยเห็น จำกันได้ ก็ยังไม่ใช่รักเลยที่เห็นแต่รู้สึกผูกพันมากกว่า แม้อยู่ห่างกัน ไกลกัน คนละที่ คนละเมืองหรือคนละประเทศต่างเมือง ก็มีเหตุปัจจัยชักนำแปลกๆ ให้มาพบมาเจอกัน อาจจะด้วยหน้าที่การงานหรือเผอิญพบเห็น หรือมีผู้ใหญ่นำพาชักจูงก็มี หากมีกรรมมาพลัดพรากไม่ได้พบกัน จะมีความรู้สึกรอใครสักคนแม้ว่าจะมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นผ่านมาในชีวิตมากมาย ก็ไม่อาจผูกใจกับใครได้ แม้รอเป็นสิบปีร้อยปี ถึงพบเจอกันอีกแล้วต้องจากด้วยเหตุวิบากอกุศลกรรม อันเป็นกรรมพลัดพรากมาตัดรอน แม้จากกันนานแสนนานก็มิอาจลืมเลือนได้
อนึ่งความรักหวานชื่น เหตุให้คู่ครองย่อมต้องอยากเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันอีก
ซึ่งผลกรรมก็ได้จัดสรรการเกิดมาเป็นคู่ครองกันอีกตาม แต่นอกจากจะรอให้กรรมเป็นตัวจัดสรรแล้ว ก็ยังสามารถเลือกที่จะได้พบและอยู่เป็นคู่ครองกับเนื้อคู่ของเราได้ในอนาคต
โดยกำหนดจิตอธิษฐาน
แต่แม้จะมีอธิษฐานร่วมกันฉันใด สุดท้ายการได้อยู่ร่วมกันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอยู่ดีเช่นนั้น
ในนิยามของ “รัก” เป็นคำกริยา หมายถึง
มีใจผูกพันด้วยความห่วงใย เช่น พ่อแม่รักลูก รักชาติ รักชื่อเสียง, มีใจผูกพันด้วยความเสน่หา, มีใจผูกพันฉันชู้สาว,
เช่น ชายรักหญิง, ชอบ เช่น รักสนุก รักสงบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า ”รัก”มีความหมายซับซ้อนกว่าที่ได้มีการอธิบายในพจนานุกรมมากมายนัก
นักปรัชญาหลายๆ ท่านทั่วโลกได้ให้นิยามความรักไว้แตกต่างกันไป นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส กิลเบอร์ท กล่าวว่า “ความรัก คือ
สวนดอกไม้ที่ต้องรดด้วยน้ำตา” รูปแบบความรักที่มีทุกข์ปนความสุข “ความรัก คือ
ดอกไม้ที่เติบโตและเบ่งบานโดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือของฤดูกาล” คาลิล ยิบราน นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ผู้กล่าวไว้ หรือความรัก คือ
พลังธรรมชาติที่ทำหน้าที่รวมธาตุทั้ง ๔ เข้าด้วยกัน คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม
และธาตุไฟ ให้ก่อกำเนิดเป็นโลกและสรรพสิ่ง” เอมพิโดเคลส (Empedocles) นักปรัชญาชาวกรีกกล่าว
แม้แต่ท่านพุทธทาสภิกขุ
นักปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนา
ได้กล่าวไว้ว่า “ความรัก คือ ความใจกว้างเห็นแก่ผู้อื่นจนไม่มีตัวตนเหลืออยู่” คำนิยามความรักในเชิงธรรมะ จะเห็นได้ว่า แค่คำว่า “ความรัก” เพียงคำเดียวก็ถูกตีความโดยผู้คนทั่วโลกไปได้มากมายหลายรูปแบบ
แสดงให้เห็นว่า ความรักเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ที่รวมความรู้สึกหลากหลายอารมณ์
ทั้งสุข เศร้า เหงา สดใส เสียสละ โกรธแค้น สงบเย็น ร้อนรุ่น และอื่นๆ อีกมากมาย…ดูเหมือนว่า ชีวิตเราทุกคนต่างหมุนไปด้วยความรักในรูปแบบต่างๆนั่นเอง แล้วบุพเพฯกับความรักที่แตกต่างนั้นมันเป็นมาและสอดคล้องกันเช่นไร
ซึ่งทางพระพุทธศาสนาได้จำแนกเรื่องความรักไว้เป็นสองประเภท คือ ความรักที่เกิดจาก กามฉันทะ และ ความรักที่เกิดจากเมตตา ซึ่งมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง โดยมีตัวอารมณ์และกามุปาทานแยกต่าง กล่าวคือ ความรักที่เกิดจาก กามฉันทะ ยึดมั่นในสิ่งที่เป็น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัส) ที่น่าใคร่
น่าพอใจ อยากจะได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา เมื่อได้รับแล้วจะรู้สึกยินดี
มีความสุขทวารทั้ง 6 หรือหวังความสุขเพื่อปรนเปรอตัวตน เราเรียกว่า
สิเนหะ หรือเสน่หา เป็นความรักที่ภาษาสมัยใหม่เรียกว่ารักแบบมีเงื่อนไข เช่น
ต้องถูกใจฉัน ต้องพะเน้าพะนอฉัน ถ้าไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการ ก็เกิดความผิดหวัง จับใจ เสียใจ เจ็บแค้น บังเกิดความทุกข์กาย
ทุกข์ใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เบื่อโลก เบืื่อสิ่งแวดล้อม ขาดสติ อาจจะทำร้ายตนเอง สร้างทุกข์โทษให้แก่ตนและหรือแก่ผู้อื่น เท่าที่อกุศลเจตนาจะพาไป สำหรับความรักที่เกิดจากเมตตานั้นเป็นความรักที่เป็นความปรารถนาดี
ไม่มุ่งหรือคาดหวังให้เขามาปรนเปรอตัวตน
เป็นความปรารถนาดีโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว อันนี้เรียกว่าเมตตา มีความแตกต่างระหว่างเมตตากับสิเนหะ
พุทธศาสนามองว่าสิเนหะเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์
เพราะว่าถ้าคาดหวังให้เป็นไปตามใจตัวแล้ว เมื่อไม่เป็นอย่างที่หวังก็ทุกข์ เกิดความพลัดพรากสูญเสียไปก็ทุกข์
แต่เมตตานั้น เนื่องจากไม่มีความยึดติดถือมั่นเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ดังนั้นเขาจะทำอย่างไรกับเรา เราก็ไม่ทุกข์ เพราะว่ามีแต่ความปรารถนาดีอย่างเดียว
ไม่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องทำดีกับฉัน เขาต้องเทิดทูนบูชาฉัน
หรือว่าเขาต้องเป็นลูกของฉัน เป็นสามีของฉัน เป็นคนรักของฉัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า
พระองค์มีความเมตตาต่อพระเทวทัตเท่ากับพระราหุล เมตตาคือความรักโดยไม่แบ่งแยก
คนส่วนใหญ่มองว่าถ้าเป็นลูกฉันก็รัก ถ้าเป็นศัตรูฉันไม่รัก อันนี้เป็นสิเนหะ
แต่เมตตาไม่มีเลือก ไม่มีแบ่งแยก เป็นความรักที่ไม่มีประมาณ ไม่มีเงื่อนไข
ขณะเดียวกันเมื่อเกิดอะไรขึ้นกับเขา
เราก็ไม่ทุกข์เพราะไม่ได้ยึดติดถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา
หรือต้องอยู่กับเราชั่วนิจนิรันดร์ (ความรักและคู่รักที่แท้,พระไพศาล วิสาโล,ปรับปรุงจากการสัมภาษณ์โดยรายการ“The
Exit ชีวิตมีทางออก” ,วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔) ความรักที่แตกต่าง
รูปแบบมีมากมายและสิ่งที่เกี่ยวพันกับบุพเพฯนั้นบอกไว้ว่า
“ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน
ปจฺจุปนฺนหิเตน วา
เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปฺปลํ ว
ยโถทเก”
แปลว่า ความรัก ย่อมเกิด
เพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการคือ
เพราะอยู่ร่วมกันในปางก่อน ๑
เพราะเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ๑
ความรักเกิดเพราะอยู่ร่วมกันในปางก่อน เรียกว่า บุพเพสันนิวาส คือการได้เคยอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ ได้สร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ทำอะไรตรงตามกัน มีความเห็นสอดคล้องเหมือนกัน เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข เป็นเหตุส่งผลให้ได้มาเป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน บุพเพสันนิวาสบางครั้งอาจจะได้อยู่ร่วมกันในฐานะอื่นก็ได้ ความรักเกิดเพราะเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ในกรณีซึ่งไม่ใช่บุพเพสันนิวาส แต่อาศัยความใกล้ชิดสนิทสนมกัน อาศัยความช่วยเหลือกัน เห็นอกเห็นใจกันในปัจจุบัน จะส่งผลให้เป็นเนื้อคู่กันในปัจจุบันและในอนาคตต่อไป ปัจจัยที่เกื้อกูลที่เกิดขึ้นกับคนทั้งคู่ทั้งวาจา กายและใจที่ดีงามทั้ง ๓ ประการนี้จะก่อให้เกิดความรักความผูกพันขึ้น นั่นก็คือยิ่งคบกันความรักยิ่งลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ยิ่งติดต่อปฏิสัมพันธ์กันทั้งทางกาย วาจา และใจ ก็ยิ่งจะผูกพันคนทั้งสองให้รักกันมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญความรักที่เกิดขึ้นจากมิตรภาพนี้หากมันลึกซึ้งมากและมีพลังมากจะสามารถทำให้ชนะบุพเพสันนิวาสได้ นั่นคือ แม้เราหรือเขาจะมีคู่บุพเพฯของตัวเองก็ตาม แต่หากทั้งสองฝ่ายเกื้อกูลกันจนกลายเป็นความรักได้ ความรักที่เกิดขึ้นก็จะลึกซึ้งและสามารถทำลายบุญเก่าได้
มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายล้วนยังต้องวนเวียนอยู่กับความรักไม่จบสิ้น เพื่อไม่ให้หลงใหลไปในวังวนแห่งความรัก
และต้องบาดเจ็บจากการรักอย่างไม่ถูกต้อง จึงมีหลักธรรมคำสอนเกี่ยวกับความรักในระดับต่างๆ ให้นำไปปรับใช้กัน นั้นคือ หลักธรรมสำหรับการรักตัวเองนั่นเอง คนเราทุกคนย่อมรักตัวเอง
ไม่มีใครอยากให้ตัวเองต้องเจ็บป่วย ลำบาก หรือประสบพบเคราะห์ร้ายใดๆ
มีคำกล่าวไว้ว่า หากเราไม่รู้จักรักตัวเองก่อน เราจะรักคนอื่นได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ความรักในขั้นแรกคือการรักตัวเองอย่างถูกต้อง ควรมีหลักธรรมเบื้องต้นสำหรับทุกคนคือหลัก เบญจศีล เบญจธรรม
แม้จะไม่สนใจการปฏิบัติภาวนาใดๆ แต่ก็ไม่ควรละทิ้งหลักเบญจศีล เบญจธรรม
ซึ่งเป็นหลักธรรมง่ายๆในการดำรงชีวิต แม้จะเกิดความรักมากมายในรูปแบบที่แตกต่างทั้งทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น
ตั้งอยู่และดับไป วนเวียนกันไป ความรักคนรอบข้างต้องปฏิบัติตามหลักทิศ 6 ความรักผู้อื่นแบบไม่มีประมาณต้องใช้หลักเมตตา
และเมตตาอัปปมัญญา อันที่จะนำมาซึ่งชีวิตที่เป็นปกติสุข
ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ห่างไกลภัยอันตรายต่างๆ ดังที่ทุกคนปรารถนานั่นเอง.
Love is real'
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)